ทำไมหญิงชาวจีนจึงไม่ค่อยเป็นมะเร็งเต้านม

ทำไมหญิงชาวจีนจึงไม่ค่อยเป็นมะเร็งเต้านม

โดย Prof. Jane Plant, PhD, CBE

“ทำไมฉันจึงมั่นใจว่าการเลิกดื่มนมนั้น จะเป็นหนทางที่จะต่อสู้กับมะเร็งเต้านม”
จากข้อความที่ตัดตอนมาจาก “ชะตาชีวิตของคุณอยู่ในกำมือของคุณเอง”

ฉันไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะเลือกเอาความตายหรือว่าจะหาหนทางที่จะรักษาตัวเองให้รอดพ้นจากความตาย ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ แน่ละ ที่ฉันต้องหาเหตุผลที่จะมาอธิบายให้กับตัวเองได้ว่าทำไม ความเจ็บป่วยที่ทารุณโหดร้ายนี้ จึงเกิดขึ้นกับสตรีชาวอังกฤษ 1 ใน 12 คน

ฉันเสียใจกับการต้องสูญเสียเต้านมไปหนึ่งข้าง และได้รับการฉายรังสี และต้องทนทุกข์ทรมานการคีโมบำบัด ซึ่งก็เป็นวิธีการรักษามะเร็งกันทั่วไปของหลายประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศที่เจริญทำกันอยู่ แต่ในใจลึกๆ ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเผชิญหน้ากับความตาย ฉันยังมีสามีอันเป็นที่รัก และลูกๆ ที่ต้องการได้รับการดูแลอยู่อีก ฉันเข้าตาจน หลังชนกำแพง ต้องสู้ และจะตายไม่ได้ ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป

เคราะห์ดี ที่ความปรารถนานี้ทำให้ฉันลุกขึ้นมาเผชิญหน้า มุ่งหาวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่จะเป็นแนวทางในการรักษา ที่เป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผลที่พิสูจน์ได้ หาสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ก่อเกิดมะเร็ง ว่าเพราะอะไรกันแน่ อายุที่มากขึ้นหรือ เกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน การมีประจำเดือนมากน้อยแค่ไหน ประวัติการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัว ฉันรวบรวมข้อมูลต่างๆ นั้นมาวิเคราะห์ ศึกษาด้วยความอยากรู้ มีมูลเหตุที่เราเองควบคุมไม่ได้ และมีหลายอย่างที่เราเองสามารถควบคุมได้

ปัจจัยอะไรที่ตัวฉันเองควบคุมได้ สามารถทำได้ทันที ทำได้ทุกวันเป็นประจำนั้น เพื่อที่จะต่อต้านมะเร็งเต้านมของฉันนั้น พยายามค้นคว้าจากข่าวสารข้อมูลต่างๆ และนำมาถือปฏิบัติโดยไม่รีรอ และ ก็เป็นข้อมูลหนึ่งที่มาจาก Peter สามีของฉันนั่นเอง เขาเป็นนักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ได้ไปทำงานอยู่ที่ประเทศจีน และพึ่งกลับมาบ้านในช่วงที่ฉันได้รับคีโมอยู่

เขานำการ์ดและจดหมายจากเพื่อนที่ได้เขียนมาให้กำลังใจฉัน และที่ทำให้ฉันประหลาดใจอย่างมากก็คือสมุนไพรที่ใช้เหน็บทวาร ซึ่งเพื่อนร่วมงานที่อยู่เมืองจีนได้ส่งมาให้ ยาเหน็บทวารนี่นะ ที่เขาส่งมาให้ฉันใช้รักษามะเร็งเต้านม โอ้! มันช่างนำขำเสียจริง รู้สึกน่าเกลียดน่ากลัวจัง

แล้วเราก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ฉันก็คิดว่านี่น่ะหรือที่คนจีนเขาใช้รักษามะเร็ง หรือเพื่อให้สาวชาวจีนหลีกหนีจากมะเร็งเต้านม ใช้ยาเหน็บทวารเพื่อเอาอุจจาระออกเนี่ยนะ คิดแล้วขำ

แต่คำพูดก็ยังก้องอยู่ในจิตใจของฉันตลอด “ทำไมผู้หญิงจีนจึงไม่เป็นมะเร็งเต้านม” ซึ่งฉันเองก็ทำงานกับคนจีนในการวิจัยถึงดินหรือปุ๋ยเคมีมีผลอย่างไรกับความเจ็บป่วย ฉันพอจะจดจำสถิติบางอย่างได้บ้าง จริงๆ แล้ว ความเจ็บป่วยต่างๆ หรือมะเร็งเต้านมนั้น มันมิได้เกิดขึ้นโดยทั่วๆ ไป หรือกระจายกันออกไปอย่างเสมอภาค หรือทุกๆประเทศต้องเป็นเหมือนๆกัน มีสตรีชาวจีนเพียง 1 ใน 10,000 คน เท่านั้น ที่ตายด้วยโรคมะเร็งเต้านม แต่ในประเทศอังกฤษ 1 ใน 12 คนที่ตายด้วยโรคนี้ และประเทศในกลุ่มตะวันตกนี้เฉลี่ยแล้ว 1ใน 10 คนด้วยซ้ำ และในชนบทของประเทศจีนยิ่งไม่ค่อยพบโรคนี้ใหญ่เลย เพราะชนบทไม่ตค่อยมีมลภาวะที่เสีย แต่คนจีนที่ฮ่องกง จะมีอัตรา 34 ใน 10,000 คน ที่ต้องตายด้วยมะเร็งเต้านม ก็ยังเป็นตัวเลขที่ห่างไกลจากอังกฤษอยู่มาก ประเทศ ญี่ปุ่น เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ ก็มีสถิติใกล้เคียงกับฮ่องกง แต่ก็ต้องเข้าใจนะว่า เมืองทั้งสอง เคยถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดผู้ป่วยสูงขึ้น

จากมลพิษและกัมมันตภาพรังสีแผ่กระจายตกค้างอยู่ เป็นที่เชื่อได้ว่า สตรีชาวตะวันตกที่อยู่ในเมืองอุตสาหรรม หรือสตรีที่อยู่ในเมืองที่มีกัมมันตภาพรังสีตกค้างอยู่ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมขึ้นไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด น่าขัน และเราพากันมองข้ามกันไป ก็คือพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับมลภาวะ หรือกัมมันตภาพรังสีเลย กลับเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้มะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น ฉันก็ได้พบอีกว่าคนที่เป็นมะเร็งนั้น ไม่ได้เกี่ยวพันกันเลยกับการเป็นชาวตะวันตก หรือเป็นชาวตะวันออก ไม่ได้เกี่ยวพันกับเชื้อชาติ จากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าเมื่อชาวจีน และชาวญี่ปุ่นอพยพไปอยู่ในดินแดนตะวันตก เมื่อผ่านไปสัก 1-2 ชั่วอายุคน คือคนรุ่นใหม่ที่เกิดและโตขึ้นในดินแดนตะวันตก อัตราการเป็นมะเร็งก็จะพุ่งสูงขึ้นตามเจ้าบ้าน เรียกว่ากลมกลืนกับเจ้าบ้าน ถือเป็นสังคมอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยทั่วไป แม้กับชาวตะวันออกที่เปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตไปตามกระแสตะวันตก ยกตัวอย่าง ในฮ่องกง อัตราการเป็นมะเร็งก็เพิ่มขึ้น จนมีคำเปรียบเปรยผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ว่า “Rich Woman’s Disease” หรือ“เป็นโรคของสตรีมีเงิน” คือคนมีเงินก็พยายามสรรหาอาหารที่คิดว่าดีๆ กินตามประสาของคนรวย เขาจึงมีคำเรียก “Hong Kong food”

คนจีนได้พูดถึงอาหารตะวันตกว่า อาหารส่วนใหญ่จะประกอบด้วย ไอศครีม ช็อคโกแลต สปาเก็ตตี้ เนยแข็งขาวที่ทำจากนมแพะ หรือนมแกะ เนยแข็ง เหมือนกับ “อาหารฮ่องกง” ก็เป็นเพราะฮ่องกงปกครองโดยอังกฤษ ประกอบกับความที่เคยอดอยาก ตอนที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ในอดีต ทำให้เขากินชดเชย

ดังนั้น จึงทำให้ฉันพอจะเข้าใจได้ว่า อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เป็นมะเร็งเต้านม และมีอัตราที่เพิ่มขึ้น วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ชนชั้นกลางที่ร่ำรวยขึ้น สไตล์ชีวิตแบบชาวตะวันตก และก็มีข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ชายด้วยเหมือนกัน จากผลการวิจัยสำรวจ มะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ด้วยสาเหตุเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับตัวเลขขององค์การอนามัยโลก จำนวนของผู้ชายชาวจีนที่อยู่ในชนบทที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น มีจำนวนน้อยนิดมากๆ มีเพียง 0.5 ใน 100,000 คน แตกต่างจากผู้ชายในอังกฤษ สก็อตแลนด์ และเวลส์ เท่าไหร่เดาออกไหม ประมาณ 70 เท่าของเมืองจีน สาเหตุก็เหมือนมะเร็งเต้านม ถือว่าเป็นโรคของชนชั้นกลางที่มีอันจะกิน หรือโรคนี้จะเข้าโจมตีกลุ่มคนที่ร่ำรวย มีเศรฐกิจที่ดี มีเงินมากก็เลยสรรหาอาหารที่คิดว่าดี และอร่อยมากิน

ฉันจำได้ว่าได้เคยพูดคุยกันกับสามี เขาพอจะรู้เรื่องราวและหลักการดำเนินชีวิตของคนจีนได้มากน้อยสักแค่ไหน มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ในฐานะที่เขาไปทำงานอยู่เมืองจีน และเพิ่งจะกลับมาบ้าน

อยากจะรู้จริงๆ ว่า ทำไม ผู้หญิงที่เมืองจีนถึงไม่เป็นมะเร็งเต้านมกัน ?

เราทั้งสองตั้งใจว่าจะใช้ความรู้พื้นฐานของเราทางด้วนวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ตามหลักของตรรกวิทยา ที่จะค้นหาสาเหตุ และต่อต้านมะเร็งเต้านมนี้ให้ได้

เราตรวจสอบข้อมูลในด้านอาหาร พบว่าในปี 2523 ในประเทศจีน บริโภคอาหารที่มีไขมันเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในประเทศแถบตะวันตก อาหารมีไขมันสูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์

แต่ว่าอาหารที่ฉันกินก่อนที่จะเป็นมะเร็งนั้น ก็เป็นพวกไขมันต่ำ แต่มีไฟเบอร์สูง แต่ฉันก็เข้าใจ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ว่าแม้เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อาจมีไขมันสูงได้ เราะไขมันนั้นค่อยๆ สะสมทีละน้อยๆ มาหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น และในวันหนึ่งก็เกิดเรื่องที่พิเศษขึ้นกับฉัน มันเป็นผลงานที่ฉันและสามีได้พยายามทำงานค้นคว้าหาข้อมูลมาตลอด และได้ผลสรุปว่า “คนจีนไม่กินนมและผลิตภัณฑ์ของนม” ยอมรับว่า มันเป็นการยาก ที่จะหาเหตุผลมาอธิบายตามกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ มันเกิดขึ้นกระทันหันในจิตใจ เกิดอารมณ์ที่ตื่นเต้นดีใจ พร้อมทั้งอุทานออกมา “ว้าว” เหมือนกับท่านทั้งหลายที่เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นโดยไม่ได้คาดหวัง และจิตใต้สำนึกที่แสดงออกมาเป็นจิกซอว์ต่อกันออกมาให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ชัดเจน

ในทันทีทันใดนั้น ฉันก็ได้หวนคิดถึงว่า “ทำไมคนจีนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมดื่มนม”

คนจีนที่ฉันทำงานอยู่ด้วยกันมักจะบอกกับฉันว่า “นมเป็นอาหารสำหรับเด็กทารก”

เพื่อนชาวจีนที่ฉันทำงานอยู่ด้วยพยายามบอกกับฉันเช่นนั้น เธอเป็นชาวจีนโดยกำเนิด ที่ยึดถือบรรพบุรุษ และปฏิเสธอาหารที่มีนม เนย ในงานเลี้ยงมื้อค่ำ

ฉันทราบดีว่า คนจีนที่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ก็ไม่ได้ใช้นมและผลิตภัณฑ์นมมาป้อนให้เด็กกิน เขาใช้อาหารเหลวๆ เปียกๆ ป้อนให้เด็กกินแทน เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวจีนบอกว่าเขาไม่คุ้นเคยกับการดื่มนม และผลิตภัณฑ์นมของชาวตะวันตก ฉันจำได้ว่ากลุ่มเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ได้บอกกับฉันว่า ได้เกิดปฏิวัติทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2523 ที่ชาวตะวันตกหันมาดื่มนมกันเป็นหลักใหญ่

เคยไปงานเลี้ยงของกิจการของชาวต่างชาติ เราได้รับการต้อนรับด้วยพุดดิ้งที่เต็มไปด้วยครีม จากการที่ได้สอบถามผู้ที่ยกมาให้ก็ได้ความว่าเป็นพุดดิ้งที่คนทำเป็นคนจีน แต่ใส่ครีมเต็มเลย เราปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่เขาก็คะยั้นคะยอขอให้ลองทานสักหน่อย พยายามให้เราเปลี่ยนใจชิมให้ได้ ในช่วงเวลานั้น คงยากที่จะปฏิเสธได้ เราก็ชิมของเขาโดยแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ชิม ด้วยความเกรงใจ

นม… ฉันได้ค้นพบแล้วว่ามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เป็น “ภูมิแพ้” มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั่วโลกไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางโภชนาการมีความเชื่อว่า นั่นเป็นปัญหาอย่างยิ่งสำหรับผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป และไม่ใช่ปัญหาของความไม่สมบูรณ์ ของสารอาหารในนม

บางทีธรรมชาติคงพยายามบอกเราว่าเรากำลังกินอาหารที่ไม่ถูกต้องอยู่ ในตอนแรกก่อนที่ฉันจะเป็นมะเร็งเต้านม ฉันกินอาหารผลิตภัณฑ์นมมาก อย่างเช่น Skimmed milk (นมที่สกัดเอาไขมันออกแล้ว) Low-fat cheese and Yoghurt (ชีสส์ และโยเกิร์ตไขมันต่ำ กินเนิ้อวัวไม่ติดมันสับละเอียด ฉันเข้าใจว่ามันดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของผลิตภัณฑ์นม ฉันได้รับคีโมเป็นครั้งที่ 5 ในการบำบัดมะเร็งเต้านม และได้กินโยเกิร์ตจากธรรมชาติเพื่อจะได้เสริมในการย่อย และเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีในกระเพาะอาหารและลำไส้

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้พบข้อมูลว่า ในปี พ.ศ.2532 Dr.Daniel Cramer แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ได้ศึกษาวิจัยสุภาพสตรี 100 คน ที่เป็นมะเร็งรังไข่ และได้พบว่าเธอเหล่านั้นกินโยเกิร์ตเป็นเรื่องปกติ เป็นไปตามที่ Peter สามีฉันเคยบอกไว้ จึงได้ตัดสินใจที่จะไม่กินโยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์นมอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ชีส เนย นม โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของนม เก็บมันทิ้งลงถังขยะหมดเลย มันช่างน่าประหลาดใจเสียจริงว่า มีผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมากมายเสียจริงๆ น้ำซุปสำเร็จรูปข้นๆ ก็มีส่วนผสมของนม ขนมปังกรอบ เค็ก เนยเทียมที่ทำจากน้ำมันพืชยี่ห้อดังๆ ล้วนมีส่วนประกอบของนม

ฉันจะกระตือลือล้นและพยายามที่จะอ่านเจ้าฉลากแผ่นเล็กๆ ที่แสดงส่วนประกอบของสินค้าติดไว้ ถึงจุดนี้ฉันได้พยายามหมั่นสำรวจตรวจสอบดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจ้ามะเร็งเต้านมของฉัน ด้วยปากกาขาโค้ง (เหมือนวงเวียน) เพื่อวัดดูเส้นผ่าศูนย์กลางและความกว้างของก้อนมะเร็ง เพื่อขจัดข้อสงสัยและหรือเป็นการสนับสนุนคำวินิจฉัย หรือข้อวิจารย์ของหมอและพยาบาลเมื่อฉันไปพบ เพื่อจะได้ความจริงที่ถูกต้องแน่นอนมากที่สุด เมื่อฉันได้กำจัดผลิตภัณฑ์นมออกไป ภายในกี่วัน ที่จะทำให้เจ้าก้อนเนื้อนั้นหดตัวลง?

ประมาณ 2 สัปดาห์ ภายหลังจากที่ฉันเข้ารับคีโมบำบัดครั้งที่ 2 และเป็นเวลา 1 สัปดาห์ที่ฉันละทิ้งผลิตภัณฑ์นมทั้งหมด เจ้าก้อนเนื้อที่คอของฉันเริ่มมีอาการคัน และมันเริ่มนิ่มลง และเล็กลง เส้นกราฟแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในทางลาดลง เล็กลงของก้อนเนื้อ เล็กลงๆ เรื่อย มัน ช่างน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นกราฟสถิติที่ลดลงเรื่อยๆ มันเป็นความดีใจ มันคุ้มกับสิ่งที่ฉันพยายามทำ และเฝ้าคอยสังเกตดูอาการ ที่ค่อยๆ ดีขึ้นของเจ้าโรคร้าย ไม่อยากเห็นเจ้าก้อนมะเร็งโตขึ้น หรืออาการที่แย่ลง

ใน บ่ายของวันเสาร์วันหนึ่ง หลังจาการที่ได้ละเลิกกินผลิตภัณฑ์นมทุกชนิดแล้ว 6 สัปดาห์ ฉันได้สังเกตดูเจ้าก้อนเนื้องอกที่คอด้านซ้ายเป็นเวลาอยู่นานทีเดียว ซึ่งฉันก็ทำอยู่ทุกวัน แต่วันนี้แปลกใจ มันหายไป คลำหามันไม่พบ ใช่ มันทำให้ฉันประหลาดใจ ตื่นเต้น มันเป็นประสบการณ์ที่ยากที่จะลืม ฉันหาก้อนมะเร็งไม่เจอ ฉันรีบวิ่งลงบันไดไปบอกสามีฉันให้ช่วยดูให้ที Peter สามีฉันก็หาไม่พบเจ้าก้อนมะเร็งเช่นกัน

วันพฤหัสต่อมาฉันก็ได้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งที่โรงพยาบาล Charing Cross ในลอนดอน ให้ช่วยดูให้ เขาได้ตรวจพิจารณาสักพักหนึ่ง แน่นอนที่คอที่เคยมีก้อนมะเร็งอยู่ หมอพยายามคลำหา แต่ก็หาไม่เจอ แล้วหมอพูดกับฉันว่า “หมอหามันไม่เจอแล้ว” และก็เช่นเดียวกัน เมื่อฉันไปพบหมอคนอื่นๆ ทุกคนบอกว่ามันหายไป (แม้แต่ระบบน้ำเหลืองก็ดีขึ้น ไม่มีอาการบวม) ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไร ฉันอยากจะหวังให้ใครๆ ที่มีก้อนมะเร็งอยู่และหาไปอย่างฉันบ้าง

ฉันมั่นใจว่าคงไม่ตายแล้ว คงมีชีวิตต่อไป เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างมาก มันช่างมีความสุข เมื่อฉันได้บอกกับสามีถึงผลการตรวจของหมอ เขาเข้าใจ โดยไม่มีข้อสงสัย พร้อมทั้งโชว์บทความที่เขาได้บันทึกไว้ให้ฉันดู

“ที่เมืองจีนเขาไม่ให้คนที่เป็นมะเร็งดื่มกินนมและผลิตภัณฑ์นม”

ณ วันนี้ทำให้ฉันเข้าใจความเกี่ยวพันกันระหว่างผลิตภัณฑ์นม กับ มะเร็งเต้านม อย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับความเกี่ยวพันของบุหรี่ กับ มะเร็งปอด

ฉันมีความมั่นใจ ชัดแจ้ง ถึงความเกี่ยวพันนี้ และได้พยายามปรับปรุงอาหารที่จะบำรุงสุขภาพ เพื่อบำรุงหน้าอก มันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับฉัน และก็คงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทุกคนเช่นกัน ที่จะยอมรับว่านมที่มาจากธรรมชาตินั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีไปได้ แต่ฉันก็ได้พิสูจน์ให้ได้เห็นแล้วล่ะ